วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวประจำสัปดาห์ที่ 4

ศตวรรษที่ 18 ศตวรษของหนังสือพิมพ์ในอังกฤษ (ต่อและจบ)

ศตวรรษที่ 18 เป็นยุคของความรอบรู้ (Age of Enlightenment) ปรัชญาเมธีจำนวนมากเผยแพร่ความคิดของตนในสิ่งพิมพ์ คนมีการศึกษาสูงขึ้นและฉลาดขึ้นกว่าในศตวรรษก่อนๆ ปี 1738 เริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม เครื่องพิมพ์ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา ทำให้การหนังสือพิมพ์เริ่มวางรากฐานมั่นคงขึ้นทั้งในด้านทุนผลิต คณะผู้จัดทำ การจัดจำหน่าย การสื่อข่าว การเขียนข่าวและสารคดี ตลอดจนความนิยมของผู้อ่านที่มีต่อหนังสือพิมพ์มากขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
มีข้อที่น่าสังเกต คือ แม้ผู้อ่านจะยอมรับหนังสือพิมพ์มากขึ้นและหนังสือพิมพ์มีอิทธิพลทางการเมือง แต่หลังจากยุคของแอดิสัน สวิฟท์ สตีล นักหนังสือพิมพ์กลับตกต่ำลงในด้านการยอมรับของสังคม ดอคเตอร์จอห์นสัน เขียนบทความลงใน London Chronicle ปี 1757 โจมตีนักหนังสือพิมพ์ที่ขายตัวเอง “ให้แก่บุคคลหรือพรรค…….ไม่มีความปรารถนาเพื่อสัจจะ หรือความคิดที่ดีงาม ไม่สนใจในการเสื่อมเสียชื่อเสียงของบุคคลอื่นมากกว่าการผูกตัวเองเข้ากับผลประโยชน์” ปี 1777 ระหว่างการสอบสวนคดีปลอมเอกสารของท่านสาธุคุณ William Dodd มีการพูดกันในศาลเพื่อยืนยันความผิดของจำเลยว่า “เขาจมต่ำในความเลวอย่างถึงขนาด พอๆ กับบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทีเดียว” ความเสียหายของหนังสือพิมพ์ในศตวรรษนี้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงในการรับสินบน บรรณาธิการสามารถรับจ้างเขียนโจมตีศัตรูของใครก็ได้ในอัตราค่าโฆษณา
สาเหตุที่เป็นดังนี้พอจะพิจารณาได้หลายแง่ เช่น นอกจากนักหนังสือพิมพ์ที่โด่งดังมากๆ 5-6 คนแล้ว มีนักหนังสือพิมพ์เป็นจำนวนมากที่มีการศึกษาและประสบการณ์เพียงครึ่งๆ กลางๆ ในเวลานั้นงานหนังสือพิมพ์เพิ่งจะเป็นอาชีพใหม่ นักหนังสือพิมพ์ที่จะยึดมั่นในอุดมการณ์ทางวิชาชีพจึงมีไม่มากนัก เป็นการฉุดดึงฐานะของอาชีพนี้ให้ตกต่ำ แต่ถึงแม้ว่าจะมีจุดบอดดังนี้ แต่หนังสือพิมพ์สมัยศตวรรษที่ 18 ก็ยังสามารถสร้างอิทธิพลทางการเมือง และมีอนาคตที่สดใสมากขึ้นในสมัยต่อมา
ศตวรรษที่ 18 มีการควบคุมหนังสือพิมพ์โดยการตั้งผู้ตรวจตราหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่กว้างขวาง เช่น พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทรงแต่งตั้งเซอร์ โรเจอร์ เลสตรองนจ์ (Sir Roger L’Estrange) ให้ดำรงตำแหน่งนี้ บุคคลผู้นี้มองข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยความแคลงใจว่า มันทำให้ประชาชนคุ้นเคยและใกล้ชิดกับพฤติกรรมของผู้ปกครองมากเกินไป และการที่เขาได้รับแต่งตั้งสู่ตำแหน่งนี้ก็เหมาะการตีพิมพ์ข้อเสนอให้ควบคุมสิ่งพิมพ์ ชื่อว่า “Confederations and Proposals in order to the Regulation of the Press” กษัตริย์ในราชวงศ์สจ๊วตเป็นผู้ตั้งข้อกล่าวหา เป็นผู้แต่งตั้งตุลาการ และจัดหาพยานหลักฐานในกรณีที่เห็นว่าผู้ใดมีความผิดฐานยุยงให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง
ค.ศ. 1712 รัฐบาลออกภาษีแสตมป์ (Stamp Act) เพื่อควบคุมการผลิตและจำนวนจำหน่าย ซึ่งในขณะเดียวกันรัฐก็ได้ผลประโยชน์ไปด้วย เจ้าของหนังสือพิมพ์ต้องจ่าย 1 เพนนีต่อกระดาษ 1 แผ่น บวกกับอีก 1 ชิลลิง สำหรับโฆษณาแต่ละชิ้นที่ลงพิมพ์ จำนวนเงินที่ต้องจ่ายนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้กฎหมายฉบับหลังๆ ที่ออกตามมาจนถึงปี 1836 ซึ่งภาษีเหล่านี้ได้ลดลงได้มีความพยายามจะเลี่ยงกฎหมายปี 1712 เช่น ตีพิมพ์เพียงหนึ่งหน้าครึ่ง และบอกว่าเป็นจุลสารด้วยวิธีนี้จะถูกหักภาษีเท่ากับ 1 หน้ากระดาษ ไม่ว่าจะมีจำนวนจำหน่ายเท่าใด และค่าภาษีก็ต่ำลงมาเพียง 2 ชิลลิงต่อ 1 หน้า อย่างไรก็ตาม การเพิ่มหนังสือพิมพ์เท่ากับต้องเสียภาษีเพิ่ม เท่ากับเป็นการจำกัดจำนวนและเนื้อข่าวหนังสือพิมพ์มีราคาแพงขึ้นทำให้จำนวนจำหน่ายต่ำ เป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญของหนังสือพิมพ์ที่แสวงหาผู้อ่านเป็นอย่างมาก เพราะมีผู้อ่านจำนวนมากที่เข้าอ่านที่ร้านกาแฟหรือร้านเหล้า หรืออ่านฟรีตามที่อ่านหนังสือพิมพ์
“เหยี่ยว” ซึ่งขายหนังสือพิมพ์ข้างถนน (และหลายคนธุรกิจเฟื่องฟูถึงขนาดควบคุมการจัดจำหน่ายหนังสือ พิมพ์รายวันจำนวนหลายพันในกรุงลอนดอน) และช่างพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบ หากมีการออกหนังสือพิมพ์เถื่อนที่หนีภาษี โทษของ “เหยี่ยว” คือ จำคุกราว 3 เดือน ช่างพิมพ์มีโทษจำหรือปรับ การควบคุมของรัฐบาลไม่ได้ยุติเพียงเท่านี้ เลขาธิการยังมีคนทั่วไปในอังกฤษและสก๊อตแลนด์ให้คอยส่งรายงานเกี่ยวกับเนื้อหาหนังสือพิมพ์ เช่น มีการจ้าง Nicholas Paston ในปี 1722 ในราคา 200 ปอนด์ต่อปี ให้คอยตรวจสอบเนื้อหาหนังสือพิมพ์ และเป็นกึ่งๆ ผู้เซ็นเซอร์ ซึ่งวิธีการนี้รัฐบาลจะรู้ตัวล่วงหน้า หากมีความพยายามจะก่อกวนราชบัลลังก์คนข่าวของกษัตริย์มีเสรีอย่างยิ่งที่จะออกค้นจับกุม ยึดสมบัติในโรงพิมพ์ รื้อแท่นพิมพ์ จับช่างพิมพ์ และลูกจ้างเข้าคุก และคิดค่าประกันตัวหลายร้อยปอนด์ การสอบสวนอาจเนิ่นไปเป็นเดือนๆ หรือเป็นปี ซึ่งโทษอาจจะหมายถึงการเข้าชื่อค่าปรับและจำคุก สิ่งที่น่าแปลก คือ การตัดสินจากคณะลูกขุนเป็นไปอย่างล่าช้าตลอดศตวรรษที่ 18 ลัทธิอำนาจนิยมเป็นฝ่ายล่าถอย
วิธีการควบคุมของรัฐโดยทั่วไปได้ผลน้อยลงทุกที จึงมีการใช้วิธีใหม่ คือ การใช้เงินของแผ่นดินไปกว้านซื้อ หรือให้ความสนับสนุนแก่หนังสือพิมพ์เอกชน ในระยะเวลาอันยาวนานที่วอลโปล (Robert Walpol 1676-1745) ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของอังกฤษ รัฐบาลใช้วิธีเอาเงินซื้อนักเขียนบทวิจารณ์การเมือง และหนังสือพิมพ์ก็มีข้อผูกพันกับรัฐบาลโดยใช้เงินราชการลับ นอกจากนี้บรรดาบรรณาธิการฝ่ายค้านก็มักถูกข่มขู่สลับกันไปกับการให้สินบนล่อใจ
ศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันในโลกใหม่กำลังเรียกหาเสรีภาพ การเรียกร้องนี้ข้ามแดนไปถึงยุโรปและเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสในปี 1789 นับแต่ปี 1750 เป็นต้นมา คนอย่างวอลแตร์ รุสโซ ดิเดโรต์ เรียกร้องเสรีภาพทางการพิมพ์ Encyclopedia ประกาศว่า “ประเทศใดก็ตามที่พลเมืองไม่อาจคิดและเขียนความคิดของตนออกมาได้ ประเทศนั้นย่อมตกลงไปในหุบเหวแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา ความงมงายและความป่าเถื่อน” ยุโรปก้าวเข้าสู่ยุคแห่งเหตุผล (Age of Enlightenment) การต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางการพิมพ์ในลอนดอนเริ่มขึ้นใน Daily Advertiser ในคอลัมน์ชื่อ “จดหมายของจูเนียส” (Letters of Junius) โจมตีรัฐบาล เรื่องการอนุญาตให้นักข่าวเข้าสังเกตการณ์รัฐสภา2 ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่สิบแปด มีวิวัฒนาการสำคัญสามประการซึ่งเป็นอุปสรรคทำให้การดำเนินคดีในความผิดฐานยุยงให้เกิดความกระด้างกระเดื่องยากลำบากยิ่งขึ้น คือความเสื่อมของลัทธิอำนาจนิยม การเพิ่มบทบาทของพรรคการเมืองและการแพร่ขยายของลัทธิประชาธิปไตย แม้การจับกุมและดำเนินคดียังมีอยู่แต่คณะลูกขุน (Juries) มักไม่ยินยอมคล้ายตามและปฏิเสธที่จะลงโทษผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว





ในปี 1785 จอห์น วอลเตอร์ (John Walter) ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ Daily Universal Register ซึ่งต่อมาคือ The Times อันเลื่องชื่อของอังกฤษ การหนังสือพิมพ์ในอังกฤษค่อยๆ เคลื่อนย้ายเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ด้วยรากฐานที่มั่นคงพอสมควรสำหรับยุคใหม่ของหนังสือพิมพ์เพื่อมวลชน (Press for the Mass) ชื่อหนังสือพิมพ์จะถูกนำมาใช้สร้างประชามติ และเข้ามามีอิทธิพลทางการค้ามากขึ้นพร้อมด้วยวิวัฒนาการทางเครื่องจักร ในปี 1820 อังกฤษมีห้องอ่านหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศปี 1840 หนังสือพิมพ์ประกาศตนเป็นอิสระจากรัฐบาล เป็นตัวแทนประชามติให้ข้อมูลประชาชนหรือการตัดสินใจทางการเมือง Times เป็นตัวนำในการกู้ฐานะฐานันดร 4 ให้กลับคืนมา หนังสือพิมพ์อังกฤษในต้นศตวรรษที่ 19 มีทั้งความชำนาญ ความซื่อตรงต่ออาชีพและการอุทิศตนต่อสังคม ไม่มีใครซื้อคนหนังสือพิมพ์ได้อีกต่อไปปี 1850 เกิดหนังสือพิมพ์ราคาถูกฉบับแรก (penny papers) ชื่อ Daily Telegraph และในปี 1880 อังกฤษก็แปรโฉมหนังสือพิมพ์ไปสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นยุคของการแสดงความคิดเห็นและยุคของอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ ทางหนังสือพิมพ์ไปสู่อิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของฐานันดร 4 ในศตวรรษที่ 20






http://www.oknation.net/blog/print.php?id=53231

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น